นสพ.เพื่อชาติ ศาสนา พระมหากษัตรื์

ประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2543

Mweb
Sanook

Thaiicq
Thaicentral
Simplemag
Sabuy || Auction
MoreThai Link

 

 

 

ตำรวจภุธรภาค4 กวาดลัางแก๊งปล้นฆ่า


ต้มเงินชาวบ้านแบบใหม่ หลอกสมุดธนาคารถอน

ประท้วงไล่ ผอ.เทคนิค ไม่โปร่งใสบริหารเงิน

ดร.ซุปดันศูนย์บริการชาวบ้านครบวงจร

ตำรวจภูธรภาค 4 กวาดแก๊งปล้นฆ่า

โรงแรมภาคอีสาน รวมตัวต่อลมหายใจ

เตรียมพร้อมงานไหลเรือไฟ แข่งเรือยาวชิงโล่พระราชทาน

พัฒนาท่องเที่ยวอีสาน ททท.วางแผนโหมโรง


*** งูเหลือมใหญ่ความยาวร่วม 4 เมตร เลื้อยเข้ากินไก่ในเล้าของชาวบ้านกกต้องในเมืองนครพนม ตามข่าว
*** พ.ต.อ.พัชรินทร์ ณ นครพนม ประธานนักศึกษาปริญญาโท มหาวิทยาบัยรามคำแหง สาขาวิทยบริการ อ.นาแก พร้อมนักศึกษาร่วมถ่ายภาพหลังปัจฉิมนิเทศที่กรุงเทพฯ ก่อนที่จะจบหลักสูตร
*** นายศักดิ์ เกียรติก้อง พร้อมคณะชมรมจักรยานรณรงค์ขี่จักรยานประหยัดน้ำมันไปตามถนนสายต่างๆ ในเขตเทศบาลเมืองนครพนม
*** นายศักดิ์ เกียรติก้อง อดีต ผวจ.นครพนม นายกเทศมนตรีร่วมแจกจ่ายเครื่องอุปโภคบริโภค ให้ชาวบ้านที่ชุมชนหนองบึก ในเมืองนครพนม
*** นายศักดิ์ เกียรติก้อง นายพิศิษฐ์ ปิติพัฒน์ นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม แจกสิ่งของช่วยชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่ชุมชนดอนเมือง
*** ว่าที่ ร.ต.พนม ศรีวะรมย์ หน.สำนักงานจังหวัดนครพนม นำข้าราชการภายในสำนักงานแข่งกีฬาเชื่อมสัมพันธไมตรีกับสำนักงานจังหวัดสกลนคร ท่ามกลางบรรยากาศที่ชื่นมื่น

จับงูเหลือมใหญ่กินไก่
ชาวบ้านแห่ไหว้ขอหวย
วันที่ 28 ก.ย. 43 เวลา 10.00 น. ผู้สื่อข่าวได้รับแจ้งว่า มีงูเหลือมตัวใหญ่ยาวร่วม 4 เมตร เลื้อยเข้าไปขโมยกินไก่ในเล้าที่บ้านของนายวิซิต บุญมาวงษ์ษา เลขที่ 154 บ้านกกต้อง ต.ในเมือง อ.เมืองนครพนม ปรากฏว่าชาวบ้านนับสินคนช่วยกันจับงูเหลือมใหญ่ไว้ได้ ซึ่งงูเหลือมได้ขโมยกินไก่ในเล้าไปถึง 11 ตัว แต่คายออกมาจากปากเพียง 3 ตัว ชาวบ้านต่างแต่งขัน 5 จุดธูปเทียนขอหวยกันตามระเบียบ และเชื่อว่างูเหลือมดังกล่าวมีความยาวร่วม 4 เมตร ต้องว่ายน้ำโขงข้ามมาจากฝั่งลาว หลังจากจุดธูปเทียนขอหวยกันหลายชั่วโมง ผู้สื่อข่าวได้ติดต่อให้เจ้าหน้าที่ส่วนอนุรักษ์สัตว์ป่า กรมป่าไม้ จ.นครพนม ส่งเจ้าหน้าที่เพื่อนำงูเหลือมไปเลี้ยงไว้ต่อไป

ควันหลงผู้ว่าศักดิ์ฯ
ผมต้องขอออกตัวก่อนว่าข้อเขียนนี้ ไม่ได้ยืนเคียงข้างเพื่อจะชมใคร หรือจะตำหนิใครทั้งนั้น เพียงแค่เขียนไปตามข้อเท็จจริง และจิตสำนึกในอาชีพสื่อมวลชน
ศักดิ์ เกียรติก้อง อดีตผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม ซึ่งวันนี้ท่านก็อำลาชีวิตราชการไปแล้ว คงเหลือภาพแห่งชีวิตเก่าๆ ในขณะเวลาของการรับราชการที่ผ่านมา 
2 ปีเต็มๆ ที่ดำรงตำแหน่งพ่อเมื่องนครพนม ถึงแม้เป็นห้วงเวลาที่ไม่นานนัก แต่ก็เห็นว่าท่านตั้งใจทำงานเพื่อชาวนครพนมอย่างเต็มที่
เรื่องของการเมืองเป็นสิทธิอันชอบธรรมของแต่ละบุคคลที่จะนิยมชมชอบ ถ้าหากแต่ละบุคคลหรือแต่ละกลุ่มจะนำเรื่องของการเมืองสร้างความขัดแย้ง จนเกิดภาพาในทางที่ไม่ดีต่อสังคมแล้ว ก็เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องนัก
ยังจำได้ไหม ? อดีตผู้ว่าฯ ศักดิ์ เกียรติก้อง นั่งเก้าอี้าพ่อเมืองนครพนมได้ไม่นาน ปรากฏว่าพระราชทานประจำเมืองซึ่งอยู่ในห้องทำงาน ก็ถูกมือดีขโมยเอาไป จนกระทั่งขณะนี่ยังไร้วี่แวว
ขอภาวนาอย่างเดียวถ้าปาฏิหาริณ์มีจริง พระประจำเมืองที่หายไปน่าจะได้คืนเพื่อเป็นของคู่บ้านคู่เมืองจังหวัดนครพนมต่อไป
ชีวิตราชการสิ้นไปตามเวลาของสังคม ในบั้นปลายชีวิตาของท่านขอให้โชคดีมีความสุขตลอดไป
สำหรับพ่อเมืองนครพนมคนใหม่ ธงชัย อนันตกูล ก็เดินทางมารับตำแหน่งเป็นที่เรียบร้อยและไม่ใช่ใครอื่นไกลน้องชาย อนันต์ อันนตกูล อดีตปลัดกระทรวงมหาดไทย ปัจจุบัน เลขาธิการพรรคประชาธิปัตย์
หวังเหลือเกินว่า ภาพลักษณ์ของเรื่องพรรคการเมือง คงจะไม่ทำให้เป็นนอุปสรรคในการร่วมมือร่วมใจพัฒนาเมืองนครพนม ทำใจเป็นกลางแล้วหันหน้าเข้าหากันเพื่อสร้างความเจริญแก่ชาวนครพนมอย่างแท้จริง
ชาวนครพนมส่วนมากเขาไม่คิดหรอกว่า พรรคการเมาองใดจะเป็นอย่างไร รู้เพียงว่าทำอย่างไรปากท้องความเป็นอยู่จะดีขึ้น การแสวงหาอำนาจทางการเมืองถ้าเล่นเป็นก็ไม่น่าจะเจ็บตัว แต่ถ้าเล่นไม่เป็นยังมีอคติ ก็มาแต่จะเปลืองตัวเปลืองใจ หาความสุขในชีวิตไม่ได้เลย
หัวหน้าพรรคการเมืองแต่ละคนอยู่กรุงเทพฯ กันหมด แต่ลูกน้องอยู่ชายแดนผิดกันเอง พอเวลาลูกพี่ดีกันจูบปากกัน ลูกน้องยังไม่ทันตั้งตัวกันเลย น่าเศร้าใจจริง ๆ 
ตะวัน ริมโขง



ต้มเงินชาวบ้านแบบใหม่
หลอกสมุดธนาคารถอน

วิธีการต้มตุ๋นชาวบ้านแบบใหม่เกิดขึ้น ขนาดที่มั่นใจว่าไม่ถูกหลอกยังโดนจนได้เป็นเงินร่วมล้านบาท เมื่อวันที่ 18 ก.ย. 43 เวลา 13.00 น. นายสนนธยา ว่องไว อายุ 30 ปี อยู่บ้านเลขที่ 134 ต.บ้านกลาง อ.เมืองนครพนม นายโกวิทย์ คำไพย์ อายุ 34 ปี อยู่บ้านเลขที่ 66 ต.บ้านกลาง อ.เมืองนครพนม และนายไพรัตน์ ไชยยงค์ อายุ 32 ปี อยู่เลขที่ 48 หมู่ 10 ต.แสนพัน อ.ธาตุพนม เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อ พ.ต.ท.เวไนย สุทธิสุนทร พนักงานสอบสวน สภ.อ.เมืองนครพนม เพื่อให้ดำเนินคดีกับนายสมเกียรติ ทรัพย์สมบูรณ์ อายุประมาณ 50 ปี อยู่บ้านเลขที่ 299/4 หมู่บ้านเมืองทองธานี ถนนแจ้งวัฒนะ อ.ปากเกร็ด จ.นนทบุรี เนื่องจากถูกลักลอบถอนขนจากสมุดธนาคารไปคนละ 2 แสนบาท รวมเป็นเงิน 6 แสนบาท
ชาวบ้านผู้เสียหายทั้ง 3 คนให้การว่า เมื่อประมาณต้นเดือนกันยายนที่ผ่านมา นายสมเกียรติฯ พร้อมเพื่อนอีกหนึ่งคน ขับรถวอลโว่สีขาว ทะเบียน ฉจ.7299 กทม. ไปพบที่บ้านแต่ละคนอ้างว่าจะพาไปทำงานที่ประเทศญี่ปุ่น เงินเดือนสูง แต่จะเสียค่าใช้จ่ายคนละ 2 แสนบาท ทั้งนี้เพื่อความเชื่อถือจะไม่มีการเก็บเงินล่วงหน้าก่อน เพียงแต่ให้ชาวบ้านหาเงินเข้าฝากธนาคารไว้คนละ 2 แสนบาท เพื่อเป็นการรับรองว่าจะไม่เบี้ยวหากได้ไปทำงานที่ญี่ปุ่นแล้ว
ต่อมาเมื่อวันที่ 14 ก.ย. 43 นายสมเกียรติก็โทรศัพท์แจ้งให้ชาวบ้านเดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมนำสมุดเงินฝากซึ่งชาวบ้านได้นำเงินเข้าฝากไว้ที่ธนาคารกรุงเทพฯ สาขานครพนม โดยให้นำบัตรประชาชน และทะเบียนบ้านตัวจริงไปด้วย เพื่อจะไปทำวีซ่าและหลักฐานต่างๆ ชาวบ้านทั้ง 3 คน ก็เดินทางเข้ากรุงเทพฯ พร้อมกับนายสมเกียรติฯ โดยหาที่พักเป็นโรงแรมย่านดอนเมืองให้พักผ่อน หลังจากเข้าพักโรงแรมเสร็จนายสมเกียรติก็พาไปสถานทูตที่ญี่ปุ่น พร้อมขอสมุดเงินฝากธนาคารทั้ง 3 คนและบัตรประชาชน พาสปอร์ต
หลังจากทำทีติดต่อที่สถานทูตญี่ปุ่นนานพอสมควร นายสมเกียรติก็พาชาวบ้านกลับส่งที่โรงแรมพร้อมบอกให้รอแล้วจะเอารถไปรับอีกครั้งหนึ่ง จนกระทั่งถึงตอนค่ำวันที่ 15 ก.ย. ทุกคนต่างเอะใจและถ้าขืนรอที่โรงแรมต่อไปก็ไม่มีเงิน จึงโทรศัพท์ติดต่อนายสมเกียรติแต่ก็ติดต่อไม่ได้ จึงได้ตัดสินใจนั่งรถยนต์โดยสารกลับนครพนม
ต่อมาในตอนเช้าวันที่ 18 ก.ย. 43 ได้ไปถอนเงินที่ธนาคารกรุงเทพฯ จำกัด สาขานครพนม ก็รับแจ้งว่าเงินได้ถูกถอนไปแล้วตั้งแต่วันที่ 15 ก.ย. โดยมีเจ้าของบัญชีไปทำการถอนที่สาขาย่อย 3 แห่ง ในเขตกรุงเทพฯ ซึ่งจากการตรวจสอบพบว่า บัตรประชาชนที่นำไปถอนเป็นชื่อของชาวบ้านทั้ง 3 คนจริง แต่ใบหน้าในบัตรประชาชนเป็นคนละคน เชื่อว่านายสมเกียรตินำบัตรประชาชนของจริงไปแล้วตัดเอารูปคนอื่นไปติด พร้อมกับปลอมลายเซ็นถอนเงินไป ทั้ง ๆ ที่ชาวบ้านผู้เสียหายทั้งสามคนไม่ได้เซ็นใบถอนเงินไว้เลย
นายโอวิทย์ คำไพย์ หนึ่งในผู้เสียหายกล่าวว่า ธนาคารน่าจะตรวจสอบให้ดี น่าจะดูลายเซ็นในการถอนและบัตรประชาชน ทางด้าน พ.ต.ท.เวไนย สุทธิสุนทร ได้รับเรื่องไว้พร้อมกับแนะชาวบ้านให้ไปตรวจสอบหลักฐานที่ธนาคารสาขาย่อยทั้ง 3 แห่งในกรุงเทพฯ เพื่อแจ้งความไว้เป็นหลักฐานหาตัวคนร้ายดำเนินคดีต่อไป

กลับ



ประท้วงไล่ ผอ.เทคนิค
ไม่โปร่งใสบริหารเงิน

นักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคนครพนมเหลืออดทนมาหลายปี รวมตัวชุมนุมประท้วงขับไล่ผู้อำนวยการให้ย้ายด่วน เมื่อวันที่ 14 ก.ย. 43 เวลา 10.30 น. ได้มีนักศึกษาวิทยาลัยเทคนิคนครพนม ประมาณ 300 คน รวมตัวชุมนุมกันภายในวิทยาลัยเทคนิค โดยมีการผลัดเปลี่ยนกันกล่าวโจมตีการทำงานของ นายธีระวัฒน์ บุญเพ็ง ผอ.วิทยาลัยฯ ว่า ตั้งแต่เป็น ผอ.มาหาลายปีมีแต่เรื่องไม่ดีไม่งามในการบริหารวิทยาลัย ไม่ว่าจะเป็นการเก็บเงินค่าทำบัตรบาโค้ตแพงเกินกว่าเหตุ ประกันอุบัติเหตุให้นักศึกษาพอได้รับอุบัติเหตุแต่ปฏิเสธการรับผิดชอบ เงินกู้ยืมนักศึกษาก็ยังไม่ได้เงินตามที่กู้ยืม ทุนเพื่อการศึกษาที่มอบให้นักศึกษาแจกให้แต่ซองเปล่า เมื่อไปติดต่อรับไม่ยอมให้เงิน และที่สำคัญผู้ปกครองของนักศึกษาได้บริจาคเงินเพื่อจัดตั้งสมาคมครู-ผู้ปกครอง และมุลนิธิเพื่อให้เป็นประโยชน์ทางการศึกษา เป็นเงินนับล้านบาทแต่ปรากฏว่าเงินหายไป จนกระทั่ง
นายเดชา ศิริรัตน์ อดีต ผอ.วิทยาลัยเทคนิค ได้ยื่นฟ้อง นายธีระวัฒน์ บุญเพ็ง เรื่องยักยอกทรัพย์ ซึ่งขณะนี้คดีอยู่ในการพิจารณาของศาล
หลังจากชุมนุมกันที่วิทยาลัยบรรดานักศึกษาได้เคลื่อนขบวนไปทำการชุมนุมต่อที่หน้าศาลากลางจังหวัด ยังมีการผลัดเปลี่ยนกล่าวโจมตีการทำงานของนายธีระวัฒน์ฯ อย่างรุนแรง ต่อมานายธีระวัฒน์ฯ ได้เดินทางไปพบกับกลุ่มนักศึกษา ปรากฏว่าบรรดานักศึกษาได้ซักถามในเรื่องต่างๆ แต่นายธีระวัฒน์ กลับเลี่ยงตอบข้อซักถามต่างๆ ทำให้นักศึกษาไม่พอใจพากันโห่ขับไล่ จนทำให้นานธีระวัฒน์ต้องรีบหนีออกจากศาลากลางจังหวัดไปทันที
ต่อมาเวลา 14.30 น. นายก้องเกียรติ อัครประเสริฐกุล รอง ผวจ.นครพนม ได้เจรจากับตัวแทนนักศึกษาเพื่อรับทราบปัญหาต่างๆ และรับหนังสือเพื่อจะส่งให้ต้นสังกัดได้รับทราบ ซึ่งบรรดานักศึกษายืนยันจะต้องให้ย้ายนายธีระวัฒน์ฯ ด่วนที่สุด เพราะทุกคนต่างยืนยันว่าเหลืออดในการทำงานของผู้อำนวยการมาหลายปี ปรากฏว่าการเจรจายังไม่ได้ข้อยุติ บรรดานักศึกษาได้เคลื่อนขบวนไปยังจวนผู้ว่าราชการจังหวัดนครพนม เพื่อพบกับนายศักดิ์ เกียรติก้อง ซึ่งเดินทางไปแจกสิ่งของช่วยน้ำท่วม จนกระทั่งนายศักดิ์ฯ เดินทางเข้ายังบ้านพักพบกับกลุ่มนักศึกษา กลุ่มนักศึกษายื่นหนังสือพร้อมแฉพฤติกรรมต่างๆ ให้ผู้ว่าฯ รับทราบ จนกระทั่งเวลา 18.00 น. จึงได้พากันสลายตัวไป และนัดชุมนุมใหญ่อีกครั้งถ้าไม่ได้มีการย้ายนายธีระวัฒน์ฯ

กลับ



อย่าปล่อยให้ใจเดือดจนระเบิด
กุทฺโธ ธมฺมํ น ชานาติ
คนโกรธแล้วย่อมไม่รู้จักความดี
อาการที่จิตเดือดดาลนั้น ชาวบ้านเรียกรวมๆ กันว่า โกรธบ้าง ยั๊วะบ้าง โทสะบ้าง โมโหบ้าง แต่ในทางศาสนาท่านแยกพูดให้เห็นรายละเอียดว่าอย่างไหนเป็นอย่างไหน อย่างไหนเกิดก่อนเกิดหลัง
ท่านอธิบายว่า เวลาจิตคนเรากระทบกับเรื่องใดเรื่องหนึ่งเบื้องต้นจะมีความรู้สึกชอบ หรือไม่ชอบเป็นของธรรมดา ถ้าสมมติว่าไม่ชอบใจ ความขัดใจจะตามมา เมื่อความขัดใจรุนแรงขึ้น ความเดือดดาลใจหรือความโกรธก็จะตามมา เมื่อโกรธแล้วก็จะบันดาลโทสะพอด่าได้ก็ด่า พอหยิบฉวยอะไรขว้างปาได้ก็ขว้างปา หากทำอะไรเขาไม่ได้ในทันที ก็จะผูกใจเจ็บ หมายแก้แค้นภายหลังเมื่อมีโอกาส
จะเห็นกระแสของการเกิดขึ้นของอารมณ์ต่อเนื่องกัน คือ จากความไม่พอใจไปสู่ความขัดใจ จากความขัดใจไปสู่ความเดือดดาลใจ จากความเดือดดาลในไปสู่ความบันดาลโทสะ จากความบันดาลโทสะไปสู่ความพยาบาท
จุดเริ่มหรือจุดระเบิดของอันตรายคือ "จุดเดือด" หรือความโกรธนี่แหละ ต้องระวังอย่าให้ใจมันสะสมอารมณ์ไว้มากๆ จนกลายเป็น "จุดเดือด" ได้ เพราะจะก่อความเสียหายใหญ่หลวง
หม้อแกงที่เดือดแล้ว ถ้าคนทำกับข้าวใจเย็นก็จะเกิดเรื่องน้ำแกงจะล้นออกมาถูกเตา น้ำในหม้องวดลง จนหม้อไหม้ คนก็เลยอดกิน ห้อมแกงถึงจุดเดือดแล้ว ไม่รู้จักดู ไม่รู้จักลดไฟ เลยเกิดความเสียหายเกิดขึ้น
ที่กล่าวมานั้นเป็นความเสียหายธรรมดาๆ ลองดูที่จิตใจเรา ถ้ามันได้เดือดแล้ว ไม่รู้จักระงับยับยั้งมันไว้ มันจะไหม้จิตใจเรายิ่งกว่าไฟลามทุ่ง พวกพ้องเพื่อนฝูง พ่อแม่ ลูกเมีย ที่เคยรักใคร่ จะกลายเป็นศัตรูหมด จะเกิดความไม่พอใจคนทั้งโลก
ความมีเหตุผลจะหายไป พาลหาเรื่องเขาทั่วไป บางทีโกรธลูกแต่ลามไปถึงพ่อแม่ โกรธคนแต่ไปทำลายของ ทุบหม้อข้าวหม้อแกง ถ้วยโถโอชามแตกกระจัดกระจายก็มี ความโกรธจึงเป็นตัวบั่นทอนคุณความดีในตัวคนเป็นอย่างยิ่ง
ระเบิดนั้นพอระเบิดตูม สิ่งแรกที่มันทำลายคือตัวมันนั่นเอง ตัวมันแตกกระจายแล้วจึงทำลายตึกรามบ้านช่องและผู้คนฉันใด ความโกรธที่เกิดขึ้นย่อมทำลายจิตใจคนๆ นั้นก่อน แล้วจึงไปทำลายคนอื่นในภายหลังฉันนั้น

กลับ



40 ปี "นครสาร"
ย้อนหลังไปเมื่อวันที่ 30 กันยายน 2503 จังหวัดนครพนมก็ได้มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นเกิดขึ้นเป็นฉบับแรกและเป็นฉบับเดียวคือ หนังสือพิมพ์นครสาร ที่ท่านถืออานอยู่นี้เอง
ท่ามกลางวิกฤติการณ์ทางด้านการเมืองการปกครอง เพราะในเวลาขณะนั้นนรัฐบาลมีการกวาดล้างจับกุมนักหนังสือพิมพ์ที่ยืนอยู่คนละขั้วกับผู้นำประเทศ นักหนังสือพิมพ์หลายคนถูกตั้งข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ โรงพิมพ์หลายสำนักถูกสั่งปิด แท่นพิมพ์ถูกล่ามโซ่ ชีวิตของคนหนังสือพิมพ์สมัยนั้นล้มลุกคลุกคลาน
หลายคนถูกยิงเสียชีวิต และอีกหลายคนต้องสูญเสียอิสระภาพเข้าไปใช้ชีวิตในเรือนจำ แต่ด้วยจิตวิญญาณในหน้าที่ของคนหนังสือพิมพ์ จะต้องทำหน้าที่แทนประชาชนเรียกร้องความถูกต้องในสังคมให้เกิดขึ้น ถึงแม้เส้นทางจะพบอุปสรรคมากแค่ไหน ? ก็จะต้องทำเพราะมันคือ หน้าที่
เช่นเดียวกับ "นครสาร" คุณพ่อของผม "คำสี ศรีสรรค์" ท่านจะเล่าความยากลำบากในการทำหนังสือพิมพ์ในยุคอดีตให้ฟังอยู่เสมอ ข้อหาหมิ่นประมาท ข้อหาเป็นคอมมิวนิสต์ ถูกปองร้ายเอาชีวิตหรือเดินผ่านคุกเป็นเรื่องธรรมดาของคนทำหนังสือพิมพ์
แต่ถ้าเราทำหน้าที่ยึดมั่นในคุณธรรม เสนอข่าวตรงไปตรงมามันจะเป็นเกราะป้องกันภัยให้แก่ตัวเราเอง คุณพ่อจะสอนผมตลอดเพราะท่านรู้ว่า ผมชอบเส้นทางนี้และมุ่งมั่นจะเดินไปในถนนสายนี้ ถึงแม้จะพบอุปสรรคต่างๆ นานา แต่ผมสำนึกอยู่เสมอว่ามันเป็นมรดกที่ล้ำค่า เป็นมหาวิทยาลัยชีวิตที่สร้างผมให้อยู่ในสังคมได้ในวันนี้
ผู้ร่วมก่อตั้ง "นครสาร" รวมทั้งคุณพ่อของผมล้วนแต่ล้มหายตายจากโลกนี้ คงเหลือไว้แต่หัวหนังสือพิมพ์ที่ชื่อ "นครสาร" เป็นมรดกที่มีค่านักซึ่งผมจะต้องสืบสานรักษาไว้ชั่วชีวิต
ถนนสายนี้แม้จะพบอุปสรรค แต่ด้วยชีวิตของผมพลความลำบากมามาก เกิดมาก็เห็นกลิ่นหมึกและกองกระดาษ คลุกคลีกับนักหนังสือพิมพ์รุ่นเก่าๆ ตั้งแต่เรียนชั้นประถม พ่อจะปลูกฝังจิตวิญญาณของสายเลือดหนังสือพิมพ์มาโดยตลอด ดังนั้น จะให้ไปทำอย่างอื่นก็ยังไม่สนุกกับงานมากนัก
ทุกวันนี้ นอกจากจะทำหน้าที่บรรณาธิการหนังสือพิมพ์นครสาร ผมยังทำหน้าที่เป็นประธานผู้สื่อข่าวไทยรัฐ กลุ่มภูพาน มีหน้าที่รับผิดชอบนโยบายจากกองบรรณาธิการไทยรัฐ ประสานการทำงานกับผู้สื่อข่าวไทยรัฐใน 5 จังหวัด คือ จ.มหาสารคาม จ.กาฬสินธุ์ จ.สกลนคร จ.มุกดาหาร และนครพนม ส่วนหน้าที่ สมาชิกสภาเทศบาลเมืองนครพนม ผมก็พยายามทำหน้าที่ให้ดีที่สุด
สุดท้ายผมต้องขอขอบพระคุณห้างร้านต่างๆ สมาชิกผู้อ่านที่ให้การอุปการะ "นครสาร" ด้วยดีมาตลอด ผมหวังว่าคงได้รับความเมตตาจากท่านตลอดไป ผมพร้อมจะทำหน้าที่ของคนทำหนังสือพิมพ์ให้ดีที่สุด และจะไม่ทำให้วิญญาณของผู้ร่วมก่อตั้ง "นครสาร" โดยเฉพาะคุณพ่อของผม ต้องเสียใจกับคนทำหนังสือพิมพ์รุ่นหลัง
"นครสาร" เป็นหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นถึงแม้จะเป็นเพียงแค่แสงของหิ่งห้อย แต่เราก็จะทำหน้าที่ส่องแสงให้กับสังคมนี้ให้นานที่สุด.
กวี ศรีสรรค์

กลับ


ความสุขฉบับชาวบ้าน 
โดย........บัวแก้ว

หากจะกล่าวความสุขคือยอดปรารถนาของทุกๆ ชีวิตไม่ผิดจากความเป็นจริงเท่าใดนัก นับตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบันมนุษย์ได้มีความพยายามศึกษาและปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสุข ทั้งในระดับปัจเจกบุคคลและระดับชุมชนหรือระดับสังคมตามวิธีการที่ตนเองเชื่อ คนเองเข้าใจและให้ระดับคุณค่าของความสุข และมนุษย์ได้ให้ความหมายกับควาามสุขเป็นไปในลักษณะต่างๆ กัน โดยบางพวกเห็นว่าความสุขเกิด การที่ต้องมีสิ่งที่เป็นเงื่อนไขหรือสิ่งบำรุงบำเรอตนจนเกิดความสุข แล้วสร้างความสุขด้วยการดิ้นรนเสาะแสวงหาและครอบครองเป็นเจ้าของวัตถุหรือสิ่งที่จะทไใตนเองเข้าถึงความสุข จนเกิดความติดยึดและถือมั่นว่านั่นเรา นี่ของเรา ซึ่งเป็นลักษณะของกามสุขัลลิกานุโยคหรือการประกอบตนให้หมกหมุ่นอยู่ด้วยกาม บางพวกเห็นว่าความสุขเกิดจากการดาลบันดาลของผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติ จึงได้มีการบูชายัญด้วยการทรมานตนเองหรือผู้อื่นเพื่อบูชาให้พระเจ้าหรือผู้มีอำนาจเหนือธรรมชาติที่ตนเองเคารพเชื่อถือนั้น เกิดความพึงพอใจและประทานความสุขให้แก่ตน ซึ่งเป็นลักษณะของอัตตกิลมัตถานุโยคหรือการทรมานตนให้เหนื่อยซึ่งไม่เกิดประโยชน์อันใด และบางพวกเห็นว่าความสุขเกิดจากการปล่อยวางว่างเว้นจากสิ่งที่เป็นเงื่อนไขให้เกิดความสุข ทั้งสิ่งที่เป็นเงื่อนไขภายในใจคือกิเลสและสิ่งที่เป็นเงื่อนไขภายนอก ได้แก่วัตถุซึ่งเป็นเครื่องล่อและกระตุ้นให้เกิดความอยากเป็นเจ้าของครอบครองแล้วเกิดความสุขจากการบริโภคและเป็นเจ้าของยึดครอง แล้วปฏิบัติตนให้อยู่ในหลักสัมมาปฏิอันเป็นลักษณะมัชฌิมาปฏิปทา เป็นทางสายกลางไม่เอนเอียงสุดโต่งไปข้างใดข้างหนึ่ง
โดยที่จริงพุทธศาสนาได้มุ่งให้พหูชนเข้าถึงความสุข ทั้งในระดับตัวปัจเจกบุคคลและระดับชุมชนหรือระดับสังคมด้วยการวางกฏเกณฑ์ไว้เป็นแนวทางปฏิบัติเพื่อให้เกิดความสงบสุขดังกล่าวที่เราเข้าใจกันดีว่า ศีล หรือข้อปฏิบัติให้ถึงความสุขโดยไม่สร้างความเดือดเนื้อร้อนใจแก่ตนเองและสังคม และศีลนี้เองเป็นเครื่องเกื้อหนุนอุดหนุนส่งเสริมให้บุคคลและสังคมเข้าถึงความสงบสุขและสมบัติต่างๆ ทั้งที่เป็นมนุษย์สมบัติอันเป็นคุณสมบัติของความเป็นมนุษย์หรือคุณสมบัติที่มนุษย์ควรจะมีอันมีการไม่ฆ่า ไม่ทำลายสัตว์มีชีวิต เป็นต้น และสวรรค์สมบัติอันเป็นคุณสมบัติหรือคุณธรรมของผู้ที่ควรอยู่ในสวรรค์ อันมีหิริและโอตตัปะอันเป็นลักษณะของความเกรงกลัวและความละอายต่อการกระทำบาปและผลของบาป และนิพพานสมบัติซึ่งเป็นอุดมการณ์ชีวิตหรือจุดหมายสูงสุดของพุทธศาสนา
นอกจากนี้ที่ว่าพุทธศาสนามุ่งให้พหูชนเข้าถึงความสุขนั้น ดังจะเห็นได้จากพุทธโอวาทในการส่งสาวกออกประกาศพระศาสนาคราแรกว่า "ดูกรภิกษุทั้งหลาย ท่านทั้งหลายจงจาริกไป เพื่อประโยชน์ เพื่อความสุข แก่ชนหมู่มาก เพื่ออนุเคราะห์ชาวโลก" ดังนั้นพุทธศาสนาจึงได้มีการสั่งสอนให้บำเพ็ญประโยชน์หรือสิ่งทำให้เกิดความสุขทั้งในปัจจุบัน ความสุขในอนาคตและความสุขคือความหลุดพ้นจากอาสวะกิเลสทั้งมวล ซึ่งเรียกว่า อัตถะ หรือ ประโยชน์ ทั้ง 3 ได้แก่ ทิฏฐธัมมิกัตถะ สัมปรายิกัตถะ และ ปรมัตถะ โดยมีศีลเป็นพื้นฐาน
ในระดับพื้นๆ หรือในระดับวิถีชีวิตแบบชาวบ้านพุทธศาสนาได้กล่าวถึงสาเหตุของการเกิดความสุขแบบชาวบ้านหรือสุขที่เกิดจากการครองเรือนอันเป็นลักษณะความสุขของคฤหัสถ์มี 4 ประการ ได้แก่
ประการที่หนึ่ง ความสุขที่เกิดจากการมีทรัพย์ ในที่นี้หมายเอาทรัพย์ภายนอกทั้งที่เป็นสังหาริมทรัพย์และอสังหาริมทรัพย์ ด้วยความที่ทรัพย์สินเงินทองอันเป็นส่วนที่ทำให้เกิดความสุขได้ เพราะสามารถอำนวยให้ผู้ที่เป็นเจ้าของครอบครองทรัพย์นั้นสำเร็จความประสงค์มีลักษณะเป็นประการต่างๆ โดยมีอำนาจในด้านการซื้อขายจับจ่ายสินค้าที่ตนต้องการ มีอำนาจการต่อรองทางสังคมหรือมีชื่อเสียงเป็นที่น่าเชื่อถือ และมีอำนาจในกำหนดวิถีชีวิตของตนเองด้วยการแสวงหาเครื่องอำนวยสะดวกเพื่อให้เกิดความสบายแก่ตน ทั้งนี้ทรัพย์นั้น ต้องได้มาโดยสุจริตถูกต้องชอบธรรมด้วยกฎหมายและศีลธรรม แต่หากเป็นทรัพย์ที่ได้มาโดยทุจริตฉ้อโกงแล้วสามารถทำให้เกิดความทุกข์และหมดอำนาจบารมีนำความเสื่อมเสียมาสู่ตนเองได้
ประการที่สอง ความสุขเกิดจากการใช้จ่ายทรัพย์ ประการที่สองเป็นกรณีที่สืบเนื่องจากการมีทรัพย์คือการที่ได้ใช้จ่ายทรัพย์ที่ตนเองเป็นเจ้าของนั้น ทั้งนี้การใช้จ่ายทรัพย์ตามหลักจิตวิทยาถือว่าเป็นการพักผ่อนหรือผ่อนคลายอารมณ์อีกวิธีหนึ่ง นอกจากนี้การได้ใช้จ่ายทรัพย์ยังเป็นการสร้างสัมพันธภาพกับคนอื่นๆ ในสังคม และหากการใช้จ่ายทรัพย์นั้นไปในลักษณะของการบริจาคให้ความช่วยเหลือแก่ผู่ที่ขาดแคลน ผู้ให้ย่อมจะอยู่ในใจและเป็นที่ประทับใจของผู้รับเสมอ นอกจากนี้การที่ได้ให้หรือแบ่งปันทรัพย์หรือความสุขแก่ผู้อื่นโดยไม่มีเงื่อนไขหรือข้อแม้เป็นอย่างอื่น ผู้รับเกิดความประทับใจและผู้ให้ย่อมเกิดความสุขด้วยความปีติอันมีในใจ ในขณะเดียวกันความสุขในลักษณะนี้จะไม่เกิดขึ้นแก่ผู้ที่ไม่เคยแบ่งปันหรือแบ่งปันแต่เป็นการแบ่งปันที่แฝงด้วยเงื่อนไขหรือแม้บางประการ
ประการที่สาม ความสุขเกิดจากการไม่มีหนี้ ความสุขประเภทนี้เป็นยอดปรารถนาของผู้คนในยุคปัจจุบัน ในยุคที่ประเทศชาติสูญเสียดุลภาพและอธิปไตยทางเศรษฐกิจ ทางวัฒนธรรมและการเมือง ผู้คนในสังคมตกอยู่ในท่ามกลางแห่งปัญหาหลายหลากมากมาย การสร้างหนี้หรือการก่อหนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะนำความสุขมาให้ทั้งผู้กู้และผู้ให้กู้นัก โดยที่จริงแล้วได้มีโคลงโลกนิติบทหนึ่งกล่าวถึงความรู้สึกนี้ไว้ว่า
อันความทุกข์ในโลกนี้ นั้นมีสาม
หนึ่งป่วยโลกลุมลาม ขยี้
สองความจนเบียด เบียนมี
อีกหนึ่งเป็นหนี้ เหล่านี้ พึงระวัง
ผู้ให้กู้ย่อมตกอยู่ในภาวะวิตกกังวลว่าลูกหนี้จะมีจ่ายหรือไม่ ลูกหนี้จะจ่ายตามสัญญาหรือไม่ และหวาดระแวงกลัวว่าลูกหนี้มีการฆ่าล้างหนี้ ผู้ให้กู้บางคนต้องมีคนคอยคุ้มกันและทำหน้าที่ทวงหนี้ ส่วนผู้กู้เองก็วิตกกังวลเป็นทุกข์ว่าจะหาที่ไหนมาจ่ายคืนทั้งต้นและดอกเบี้ย เมื่อครบกำหนดตามสัญญา หรือไม่อาจจ่ายคืนตนเองจะถูกยึดทรัพย์ที่วางเป็นหลักประกันอะไรหรือไม่ เป็นต้น ภาพที่ปรากฏชัดเจนในเรื่องของความทุกข์กังวลเป็นทุกข์ใจในเรื่องนี้คือการที่ธนาคารไม่ปล่อยให้กู้ในปัจจุบัน ทั้งๆ ที่ดอกเบี้ยทั้งเงินฝากและเงินกู้ถือว่าอยู่ในช่วงที่ต่ำเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นเครื่องชี้วัดถึงความวิตกกังวลดังกล่าวได้เป็นอย่างดี แต่ทั้งนี้ไม่ได้หมายความว่าธนาคารจะทำร้ายลูกค้าที่ไม่จ่าย
สุขของผู้ครองเรือนประการสุดท้าย สุขที่เกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ หรือ อนวัชชสุข ถือว่าเป็นยอดกว่าสุขทั้งปวง เพราะความอิ่มเอิบใจ สบายใจว่าตนเองมีความประพฤติสุจริต ไม่บกพร่องเสียหาย ใคร ๆ ก็จะตำหนิติเตียนตนด้วยพฤติกรรมที่เสียหายไม่ได้ ทั้งทางกาย ทางวาจา และทางใจ ซึ่งมีแต่ความบริสุทธิ์เจือด้วย ทั้งระดับสามัญศีล ระดับมัชฌมศีล และอธิศีล นอกจากนี้ยังมีความหมายรวมถึงผู้คนส่วนอื่น ๆ ที่สามารถทำให้เกิดการตำหนิติเตียนแก่ตนเองได้ เช่น บุคคลในกลุ่มเครือญาติ บุคคลในกลุ่มเพื่อนร่วมงานเป็นต้น เพราะถึงแม้ตนเองจะมีพฤติกรรมไม่เสื่อมเสียหรือมีโทษ แต่บุคคลข้างเคียงเหล่านั้นเป็นผู้ประพฤติโทษผิดศีลผิดธรรม ย่อมก่อให้เกิดคำครหานินทาได้ว่า เป็นผู้มีญาติเป็นคนชั่ว หรือมีเพื่อนเป็นคนชั่ว และเป็นผู้คบคนชั่วเป็นต้น เพราะฉะนั้นความประพฤติเสื่อมเสียที่จะนำความปราศจากสุขมาให้ ย่อมเกิดจากความเป็นผู้ทุศีลและอบายมุขหรือช่องทางที่จะนำไปสู่ความเสื่อมทั้ง 4 ประการ ได้แก่ เที่ยวกลางคืน ดื่มน้ำเมา เล่นการพนันและคบคนชั่วเป็นมิตร
โดยสรุปแล้ว ความสุขเป็นภาวะสมดุลทั้งทางร่างกายและจิตใจที่ผ่อนคลายและเป็นปกติ ความสุขเป็นสิ่งที่มนุษย์ต้องการและได้มีการแสวงหาวิธีการที่จะเข้าถึงความสุขตามความเชื่อและระดับการให้คุณค่าความหมายของความสุขตามที่ตนเองเข้าใจ ในส่วนของพุทธศาสนาได้กล่าวถึงเรื่องนี้ไว้ในอังคุตตรนิกาย จตุกกนิบาตว่า ความสุขของผู้ครองเรือนนั้นมี 4 ประการคือ ความสุขจากการมีทรัพย์ ความสุขจากการได้ใช้จ่ายทรัพย์นั้น ความสุขจากความไม่มีหนี้ และความสุขเกิดจากความประพฤติไม่มีโทษ นอกจากนี้ยังแสดงถึงวิธีการที่คนเราจะเข้าถึงความสุขนั้นได้ก็ด้วยศีล ดังนั้นวันนี้ท่านผู้อ่านได้สำรวจว่าตนเองเข้าถึงความสุขโดยประการข้างต้นด้วยศีลหรือยัง ?

กลับ



สัมมนาพาณิชย์จังหวัด
ดร.ซุปดันศูนย์บริการชาวบ้านครบวงจร

นายศุภชัย พานิชภักดิ์ รองนายกรัฐมนตรี และ รมว.พาณิชย์ กล่าวในงานสัมมนาพาณิชย์จังหวัดทั่วประเทศเรื่อง "นโยบายการปฏิบัติงานของกระทรวงพาณิชย์ในภูมิภาค" ว่า พาณิชย์จังหวัดจะต้องเป็นศูนย์บริการครบวงจร ทั้งเรื่องการดูแลค่าครองชีพประชาชน ดูแลราคาสินค้าเกษตร จดทะเบียนธุรกิจดูแลการประกันภัย รวมถึงดูแลการค้าผ่านแดนเพื่อส่งเสริมให้การค้าผ่านแดนขยายตัวมากขึ้น
สำหรับการดูแลราคาสินค้าเกษตรจำเป็นต้องดูแลให้ดี โดยเฉพาะเมื่อรัฐบาลต้องเข้าไปแทรกแซงสินค้าเกษตรเพื่อให้ทุกอย่างโปร่งใสและเกษตรกรได้รับความช่วยเหลืออย่างแท้จริง อย่างไรก็ตามการแทรกแซงสินค้าเกษตรนั้น ตนเห็นว่าจะให้รัฐบาลแทรกแซงราคาทุกปีไม่ได้ เพราะไม่สามารถแก้ไขปัญหาราคาสินค้าตกต่ำได้ 100% สิ่งสำคัญคือต้องปรับโครงสร้างการผลิตสินค้าเกษตรใหม่เพื่อให้เกษตรกรไทยผลิตสินค้าที่มีคุณภาพ ผลผลิตต่อไร่สูง ซึ่งจะส่งผลให้ขายได้ราคาดีตามไปด้วย
"สินค้าเกษตรตัวใดที่เราแข่งขันกับคู่แข่งไม่ได้ หรือปลูกแล้วไม่ได้ผลดีก็ควรเลิกผลิตไปเลยแล้ว ส่งเสริมให้เกษตรกรปลูกพืชอื่นทดแทน เช่น อ้อย มันสำปะหลังที่ปลูกแล้วมีแต่ปัญหา คุณภาพต่ำซ้ำซาก ผลผลิตต่อไร่ต่ำซ้ำซาก ปลูกแล้วมีแต่เสีย จะคอยให้รัฐบาลช่วยเหลือด้วยการแทรกแซงราคาตลอดไปไม่ได้ ควรเปลี่ยนมาปลูกพืชอื่นทดแทนดีกว่า"
นายศุภชัยกล่าวต่อว่า พาณิชย์จังหวัดต้องร่วมกับหอการค้าจังหวัด ศุลกากรจังหวัด ผู้แทนประเทศเพื่อนบ้านแก้ปัญหาชายแดนเพื่อให้เกิดความเป็นธรรมและโปร่งใสมากขึ้น โดยเฉพาะปัญหาลักลอบสินค้าเถื่อนหรือสินค้าที่ไม่เสียภาษี ซึ่งเป็นปัญหาใหญ่และประเทศเพื่อนบ้านเป็นห่วงมาก จนเกิดความรู้สึกที่ไม่ดีในการค้าขายกับไทย และออกมาตรการระยะสั้นมาป้องกัน เช่น ห้ามนำเข้าสินค้าบางรายการจากไทย ตรวจสต๊อกในประเทศก่อนนำเข้าสินค้าบางชนิดจากไทย เป็นต้น

กลับ


ตำรวจภูธรภาค 4
กวาดแก๊งปล้นฆ่า

ตำรวจชุดสืบสวนภาค 4 ออกไล่ล่าคนร้ายแก๊งปล้นฆ่าหนีการจับกุมหลายปี สุดท้ายโดนรวบตัวได้มีทั้งหมายจับของ สภ.อ.เรณูนคร และ สภ.อ.บ้านแพง จ.นครพนม
วันที่ 26 ก.ย.43 พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 แถลงข่าวผลการกวาดล้างจับกุมคดีอุกฉกรรจ์ในพื้นที่รับผิดชอบตำรวจภูธรภาค 4 ว่า พ.ต.ท.คัชชา ธาตุศาสตร์ รอง ผกก.สืบสวนภาค 4 พ.ต.ต.ทัศนาบดี พลซา สว.งาน 5 พร้อมกำลัง กก.สส.ภาค 4 ร่วมกันจับกุมตัวนายชัย พรหมอารักษ์ อายุ 31 ปี อยู่บ้านเลขที่ 19 หมู่ 2 อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ตามหมายจับของ สภ.อ.เรณูนคร จ.นครพนม คดีร่วมกับพวกปล้นทรัพย์นายบัณฑิต อุ่นคำ เหตุเกิดเมื่อ 2 ก.พ. 43
นอกจากชุดนี้สืบสวนภาค 4 ยังจับกุมนายประสงค์ หรืออ๊อด บุญหลาย อายุ 44 ปี เลขที่ 60/1 อ.เมืองนครพนม ตามหมายจับของ สภ.อ.เมืองนครพนม ร่วมกับพวกใช้อาวุธฆ่านายบรรจง สาละวัน เมื่อ 3 ม.ค. 43 และตามจับกุมตัวนายจรินทร์ หรือหมี คำกองแพง ที่หลบหนีไปเป็นยากรักษาความปลอดภัยที่ห้างบิ๊กซีอุดรธานี ตามหมายจับของ สภ.อ.บ้านแพง จ.นครพนม เนื่องจากร่วมปล้นทรัพย์และฆ่าพระเตชะธรรมโม หรือแสนเยีย เสียชีวิตบนศาลการเปรียญวัดบ้านนาเข อ.บ้านแพง จ.นครพนม เมื่อวันที่ 24 ต.ค. 37
พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 กล่าวว่า แต่ละคดีที่เกิดขึ้นตำรวจภูธรภาค 4 ไม่ได้นิ่งนอนใจแต่อย่างใด คดีที่คั่งค้างโดยเฉพาะคดีอุกฉกรรจ์ กำลังเจ้าหน้าที่ชุดสืบสวนจะออกไล่ล่าผู้กระทำผิดอย่างไม่ลดละ

กลับ

โรงแรมภาคอีสาน
รวมตัวต่อลมหายใจ

โรงแรมภาคอีสานผนึกกำลังรวมตัวตั้งสมาคมโรงแรมภาคอีสาน นายกสมาคมออกโรงบี้รัฐบาลกำชับหน่วยงานราชการหันมาจัดสัมมนาในโรงแรมเขตภาคอีสานบ้างเพื่อต่อลมหายใจ ที่ผ่านมาการจัดสัมมนาหรือประชุมของหน่วยงานราชการจะมุ่งแต่ภาคเหนือ ภาคกลาง ภาคใต้ ทั้งที่นักท่องเที่ยวก็ได้เวิอร์กอยู่แล้ว
นายสุรัตน์ บัววัน นายกสมาคมโรงแรมภาคอีสาน เปิดเผยว่า ขณะนี้นักธุรกิจโรงแรมในเขตภาคอีสานได้รวมตัวกันอย่างเหนียวแน่นซึ่งเดิมทีนั้นนักธุรกิจโรงแรมในอีสานจะอยู่ในสภาพต่างคนต่างทำต่างคนต่างอยู่จึงทำให้ขาดพลังในการต่อรองกับภาครัฐ ต่อมาในปี 2539 จึงมีการรวมตัวเกิดขึ้นโดยการตั้งชมรมธุรกิจโรงแรมขึ้นแต่บทบาทของชมรมถึงแม้จะมีพลังแต่ยังเป็นองค์กรที่ยังไม่ถูกต้องตามกฎหมายที่จะใช้ต่อรองกับภาครัฐได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย ดังนั้นสมาชิกจึงมีมติขออนุญาตตั้งสมาคมโรงแรมภาคอีสานขึ้น และได้รับอนุญาตเป็นสมาคมถูกต้องตามกฎหมายเมื่อวันที่ 28 สิงหาคม 2543 ที่ผ่านมา ขณะนี้ได้มีผู้ประกอบการโรงแรมระดับ 5 ดาวจำนวน 30 แห่งเข้าร่วมสมาคมอย่างเหนียวแน่นเพื่อกำหนดบทบาทและรวมพลังเป็นหนึ่งเดียว อย่างไรก็ตามสมาคมเราเปิดกว้างสำหรับโรงแรมระดับเล็กในแต่ละจังหวัด สมัครเป็นสมาชิกสมาคมได้แต่ต้องได้รับการพิจารณาจากมติสมาคมก่อน
ตอนนี้แผนงานเบื้องต้นของสมาคมโรงแรมภาคอีสาน จะมีการร่วมมือกันพัฒนางานด้านบุคลากรของโรงแรมร่วมกัน คือแลกเปลี่ยนกลยุทธาการบริการลูกค้าในลักษณะที่ว่า ใครมีทีเด็ดเชิงบริหารที่ประสบความสำเร็จก็จะไม่อุบไต๋ไว้ใช้คนเดียวต่อไปนี้มีอะไรก็บอกกัน เพื่อกำหนดทิศทางบริการลูกค้า แต่ประเด็นสำคัญตอนนี้ทางสมาคมโรงแรมอีสานได้มีมติต่อสู้ เพื่อเรียกร้องต่อรัฐบาลให้ช่วยเหลือโรงแรมในภาคอีสานที่ประสบปัญหาเศรษฐกิจซบเซา โดยต้องการให้รัฐบาลได้กำซับให้หน่วยงานราชการเวลาจะจัดสัมมนาหรือประชุมก็ควรที่จะมาจัดในโรงแรมภาคอีสานกันบ้างโดยจัดประชุมที่จังหวัดไหนก็ได้ในภาคอีสาน ที่ผ่านมานั้นหน่วยงานราชการเวลาจะจัดประชุมสัมมนามักจะไปที่ภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ เป็นส่วนใหญ่ ซึ่งโรงแรมในภาคนี้เขามีนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศมาหมุนเวียนใช้บริการจนเติบโตอยู่แล้วเขาไม่มีปัญหา แต่ในขณะที่โรงแรมในภาคอีสานซบเซาทางรัฐบาลก็น่าจะมีนโยบายให้การช่วยเหลือ คือผลักดันให้หน่วยงานราชการมีการประชุมสัมมนาที่ภาคอีสาน นอกจากนี้ในส่วนของการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทยน่าจะมีบทบาทผลักดันนักท่องเที่ยวมาภาคอีสานอย่างเป็นรูปธรรมชัดเจน
สำหรับภาพรวมของโรงแรมในภาคอีสานมีมูลค่าการก่อสร้างประมาณ 1 หมื่นล้านบาท และเป็นโรงแรมที่ได้มาตรฐานไอโซ่หลายแห่งซึ่งไม่ได้ด้อยกว่าภาคอื่นๆ แม้แต่น้อย แต่หลายปีที่ผ่านมาธุรกิจโรงแรมในภาคอีสานมีสภาพแบบลุ่มๆ ดอนๆ ถ้าหากได้ดูแลหรือผลักดันจากรัฐอย่างต่อเนื่องธุรกิจโรงแรมในภาคอีสานก็น่าจะดีขึ้น

กลับ


เตรียมพร้อมงานไหลเรือไฟ
แข่งเรือยาวชิงโล่พระราชทาน

รายงานข่าวแจ้งว่า การเตรียมความพร้อมในการจัดงานประเพณีไหลเรือไฟของจังหวัดนครพนม จะมีขึ้นในระหว่างวันที่ 8-14 ตุลาคม 2543 โดยคืนวันไหลเรือไฟคือ คืนวันที่ 13 ตุลาคมฯ ซึ่งที่ผ่านมาทางจังหวัดได้มีการจัดประชุมหัวหน้าส่วนแต่ละหน่วยงานเพื่อหารือในการวางแผนจัดงานประเพณีไหลเรือไฟปีนี้ให้ยิ่งใหญ่และประทับใจนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางมาเที่ยวงานครั้งนี้อย่างเต็มที่ เนื่องจากว่างานประเพณีไหลเรือไฟนั้นเป็นเอกลักษณ์ที่โดดเด่นด้านการท่องเที่ยงของจังหวัดนครพนม ทีได้มีการปฏิบัติสืบทอดกันมาตั้งแต่ยุคอาณาจักรศรีโคตรบูรณ์ และเป็นที่รู้จักกันทั่วไปในหมู่นักท่องเที่ยวในประเทศและชาวต่างชาติ ซึ่งในแต่ละปีจะมีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลมาเที่ยวงานประเพณีไหลเรือไฟที่นครพนมจำนวนมาก
สำหรับงานประเพณีไหลเรือไฟปีนี้ แต่ละอำเภอทั้งภาครัฐภาคเอกชนได้ส่งเรือไฟร่วมแข่งขันจำนวน 12 ลำซึ่งขณะนี้แต่ละอำเภอก็ได้มีการประกอบเรือไฟกันที่บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง โดยการนำไม้ไฝ่มามัดเป็นโครงทำเรือไฟกันแล้ว ส่วนมหรสพคบงันในวันงานไหลเรือไฟนั้นที่บริเวณศาลากลางจังหวัดตลอดงานจะมีการจัดนิทัศการของหน่วยงานราชการและมีวงดนตรี ภาพยนต์ ชั้นนำมาแสดงให้ชมทุกคืนนอกจากนี้บริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขงก็ได้มีการจัดแสดงแสงสีเสียงให้ชมอีกด้วย สำหรับการเตรียมพร้อมในการต้อนรับนักท่องเที่ยวที่จะมานครพนมในคืนวันไหลเรือไฟนั้น ปัญหาอุปสรรคเรื่องที่พักคงจะมีปัญหา เพราะจังหวัดเรามีโรงแรมรองรับหลายแห่งแต่ถ้ายังไม่เพียงพอทางจังหวัดก็ได้ประสานโรงเรียนในเขตเทศบาลและวัดต่างๆ ให้เปิดให้ประชาชนเข้าไปอาศัยหลับนอนได้
นายพิศิษฐ์ ปิติพัฒน์ นายกเทศมนตรีเมืองนครพนม เปิดเผยว่า ในส่วนเทศบาลเมืองนครพนม ด้านการจัดกิจกรรมในงานประเพณีไหลเรือไฟปีนี้นั้น ทางเทศบาลก็ได้จัดกิจกรรมแข่งขันเรือยาวบริเวณริมฝั่งแม่น้ำโขง ซึ่งปีนี้จัดยิ่งใหญ่เป็นพิเศษชิงโล่พระราชทานพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และถ้วยพระราชทานสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ ซึ่งปีนี้จะมีเรือเข้าร่วมแข่งขันประมาณ 50-60 ลำ โดยแยกเป็นรุ่นชายเล็ก เรือชายใหญ่ ขณะเดียวกันเราก็มีเรือจากแขวงคำม่วน (สปปล.) มาร่วมแข่งขันเพื่อเป็นการเชื่อมสัมพันธ์ไมตรี โดยจะแข่งขันในวันที่ 10-12 ตุลาคม นอกจากนี้ในวันที่ 13 ตุลาคม ทางเทศบาลก็จัดการแข่งขันแห่ปราสาทผึ้ง โดยชุมชนจะทำการนำปราสาทผึ้งมาร่วมแข่งขันโดยการแห่ไปตามถนนในเขตเทศบาลให้ประชาชนได้ชม

กลับ


พัฒนาท่องเที่ยวอีสาน
ททท.วางแผนโหมโรง

ผลจากการจัดสัมมนา "4 ทศวรรษกับการพัฒนาท่องเที่ยวภาคตะวันออกเฉียงเหนือ" ในหัวข้อแนวทางการส่งเสริมและพัฒนาการท่องเที่ยวเมืองชายแดนอีสานสู่อินโดจีน ที่ ททท.เขต 4 จัดขึ้นที่จังหวัดนครพนม เมื่อวันที่ 26 กันยายน 2543 ที่ผ่านมา โดยมีนายภราเดช พยัคฆวิเชียร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย เป็นหัวเรือใหญ่พร้อมด้วยนักพูดชั้นนำหลายคนจากส่วนกลาง และนักธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดนครพนมจำนวน 300 คน ได้วิพากษณ์วิจารณ์แลกเปลี่ยนความคิดเห็น ตลอดการเสนอแนะหลักการในการที่จะพัฒนาการท่องเที่ยวในเขตจังหวัดชายแดน นครพนม สกลนคร มุกดาหาร
ถึงแม้การจัดสัมมนาครั้งนี้จะมีการกำหนดรูปแบบการสัมมนาเฉพาะพื้นที่จังหวัดนครพนมเท่านั้น แต่ก็มีการหยิบยกปัญหาการท่องเที่ยวภาพรวมของภาคอีสานไปเปรียบเทียบกับภาคเหนือ, ภาคตะวันออก, ภาคใต้, ผลปรากฎว่าสถานที่ท่องเที่ยวในภาคอีสานยังไม่สามารถดูดนักท่องเที่ยวได้ดี เท่าการดูดนักท่องเที่ยวสู้ทางภาคเหนือ ภาคตะวันออก ภาคใต้ไม่ได้ จำเป็นอย่างยิ่งภาคอีสานจะต้องร่วมมือกันพลิกกลยุทธในการพัฒนาการท่องเที่ยวแบบใหม่จึงจะสามารถตีตื้นภาคอื่นๆ ได้
นายภราเดช พยัคฆวิเชียร ผู้ว่าการท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย กล่าวถึงศักยภาพสถานที่ท่องเที่ยวในภาคอีสานว่าจริงๆ ภาคอีสานมีสถานที่ท่องเที่ยวหลายแห่งแต่ก็มีข้อจำกัดค่อนข้างมากคือ 1. สิ่งจูงใจหรือสิ่งดึงดูดนักท่องเที่ยวมันคล้ายกัน 2. ระยะทางแต่ละจังหวัดจะห่างกันมาก 3. ภาคตะสันออกเฉียงเหนือโดยเฉพาะจังหวัดชายแดนแต่ประเทศเพื่อนบ้านที่อยู่ติดกันอยู่นั้น มีสภาวะที่กำลังพัฒนาไม่เหมือนกับทางภาคใต้หรืองทางภาคเหนือบางจุดคงจะเห็นได้ว่ามันมีองค์ประกอบหลายอย่างรวมกัน ดังนั้นการพัฒนาการท่องเที่ยวของภาคตะวันออกเฉียงเหนือสิ่งหนึ่งต้องมองเป็น 2 ระดับ คือระดับนาๆ ชาติที่เราจะเปิดไปพร้อมกับประเทศเพื่อนบ้านในกลุ่มอินโดจีน ซึ่งขณะนี้ได้มีแผนในระดับรัฐบาลโดยรัฐมนตรีการท่องเที่ยวของประเทศไทย ลาว กัมภูชา เวียตนาม จะมีการประชุมหรือกันในวันที่ 6 ตุลาคมนี้ที่กรุงเทพ เพื่อร่มมือการพัฒนาท่องเที่ยวร่วมกันให้เป็นหนึ่งเดียวเหมือนกับไม่มีพรมแดน
ส่วนในประเทศเองเราคงต้องมองว่า โอกาสข้างหน้าการเชื่อมต่อระหว่างประเทศต้องใช้ระยะเวลาโดยการท่องเที่ยวได้วางแผนรวมกลุ่มจังหวัดให้เป็นแหล่งท่องเที่ยว ลักษณะเป็นโครงข่ายแทนที่จะเป็นจังหวัดหนึ่งจังหวัดใด ยกตัวอย่างกลุ่มจังหวัดภาคเหนือ ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง ซึ่งเขาได้เปรียบคือเขาติดต่อกัมภูชาและลาวได้ถือได้ว่าเป็นสามเหลี่ยมวัฒนธรรมขอมไล่ตั้งแต่ นครราชสีมา บุรีรัมย์ ศรีสะเกษ สุรินทร์ อุบลราชธานี ส่วนทางภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนบนอาจจะเป็นกลุ่มหนึ่งรวมทั้งจังหวัดนครพนม สกลนคร มุกดาหาร อุดรธานี คือเราต้องทำให้เแนวงจรการท่องเที่ยว และต้องทำตลาดท่องเที่ยวทั้งในประเทศและต่างประเทศ ส่วนในประเทศเราคงต้องมองว่าจะทำอย่างไรจึงจะดูดนักท่องเที่ยวมาเที่ยวในภาพรวมๆ ซึ่งการสัมมนาครั้งนี้เราจะมีการกำหนดกลยุทธด้านการตลาดร่วมกันว่าจะทำอย่างไร แล้วรวมเป็นแพค เกดนำเที่ยวไปนำเสนอนักท่องเที่ยวทั้งในประเทศและในต่างประเทศ ซึ่งโครงการใหญ่ขณะนี้จะมีการสร้างพิพิทภัณฑ์ปลาน้ำจืดแห่งลุ่มน้ำโขงขึ้น และได้รับสนุนเงินกู้จากต่างประเทศองค์กรโลกของช้างที่จังหวัดสุรินทร์เพื่อรักษาชีวิตของช้างให้อยู่คู่กับชุมชนซึ่งนักท่องเที่ยวสามารถเข้ามาสัมผัสได้และช้างก็สามารถดำรงชีวิตอยู่ได้
นายภารเดช พยัคฆวิเชียร กล่าวทัศนคติถึงศักยภาพการท่องเที่ยวของจังหวัดนครพนมว่า จังหวัดนครพนมมีข้อขีดจำกัดอยู่เอาง่ายๆ เมื่อเปรียบกับจังหวัดมุกดาหารก็มีข้อแตกต่างกัน คือมุกดาหารจะเป็นจุดผ่านและมีการพัฒนาด้านเศรษฐกิจมากกว่า ขณะที่นครพนมมีเอกลักษณ์เป็นของตัวเองเป็นเมืองที่สงบเงียบเป็นเมืองที่น่าพักผ่อน เป็นเมืองที่คนมาใช้เวลาอยู่นานๆ คือเป็นเมืองพักผ่อนหย่อนใจไม่ใช่เป็นเมืองเศรษฐกิจ โดยโครงสร้างพื้นฐานประนครพนมไม่จำเป็นอยากให้นักท่องเที่ยวเข้ามาอย่างมหาศาล เพียงแต่เข้ามาอย่างต่อเนื่องก็จะทำให้ธุรกิจนครพนมอยู่ได้อย่างมั่นคงและค่อย ๆ เติบโต ดังนั้นตนจึงมองว่านครพนมจะต้องมองตัวเองในแง่ของการพัฒนาตลาดตัวสินค้าเท่านั้นยังไม่พอ ต้องมองตัวเองถึงขีดความสามารถในการแข่งขันการตลาดคือต้องวางแผนทำตลาดเองและต้องรู้ว่าลูกค้าที่จะมานครพนมจะมาจากไหน จะมาเมื่อไหร่ถ้าเราเจาะตรงๆนั้นได้โอกาสนครพนมจะค่อยพัฒนาอย่างยั่งยืนไปได้สูงมากเพราะนครพนมเป็นเมืองที่สวยงามมาก มีวัฒนธรรมเก่าแก่ หรือวัฒนธรรมอินโดจีนยุคยุโรป มีสายน้ำ ภูเขาเป็นฉากอย่างสวยงาม ถ้าหากพัฒนาถูกหลักอนาคตท่องเที่ยวของนครพนมไปได้สวยแน่นอน ซึ่งขณะนี้ทางการท่องเที่ยวแห่งประเทศจะไม่มีการวางแผนท่องเที่ยวเองจากส่วนกลาง แล้วให้ส่วนภูมิภาคปฏิบัติ โดยจะทำการออกพื้นที่พบปะภาครัฐเอกชนแต่ละจังหวัดแสดงความคิดเห็นว่าต้องการอย่างไรคือต้องวางแผนร่วมกันจึงจะกำหนดแผนออกมา
กลับ


สังคม 
"นครสาร" ฉบับประจำวันที่ 1 ตุลาคม 2543.....*** 13 ตุลาคม วันไหลเรือไฟปีนี้คงคึกคักเหมือนทุกปีที่ผ่านมา โรงแรมเต็มเหมือนเดิม แต่ยังมีที่พักรับรองหลายแห่ง.....*** "สามคม" และชาวนครพนม ขอต้อนรับพ่อเมืองคนใหม่ ธงชัย อนันตกูล หวังว่า คงนำพาการพัฒนานครพนม ให้เจริญรุดหน้ายิ่งขึ้น.....*** การเมืองสนามใหญ่นับวันใกล้เข้ามาทุกขณะ ที่เห็นๆ เขต 1 อ.เมืองนครพนม เปิดตัวลุยหาเสียงแล้วก็มี มานะ คูสกุล พรรคความหวังใหม่ จีระศักดิ์ พูลศิริกุล พรรคไทยรักไทย และ สุรสีห์ ทรัพยสิทธิ์ พรรคราษฎร.....*** วันก่อน พรรคราษฎร นำเครื่องอุปโภคบริโภค 3 คันรถใหญ่มาแจกจ่ายชาวบ้านที่ประสบภัยน้ำท่วมในพื้นที่นครำนม.....*** เลือกตั้ง ส.ส. คราวนี้ รัฐต้องใช้เงินงบประมาณเลือกตั้งซ่อมมากพอสมควร เพราะทั้ง ส.จ. และ ส.ท. ลาออกไปสมัครเลือกตั้ง ส.ส. นับดูแล้วเฉพาะจังหวัดนครพนม ร่วมสิบคนทีเดียว.....*** ทางด้าน กิจจา พลหนองหลวงา เทศมนตรีเมืองนครพนม (ถ้าไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง) จะไสช้างในนามพรรคเสรีธรรม ชนกับ อรรถสิทธิ์ ทรพัยสิทธิ์ พรรคความหวังใหม่ ในพื้นที่ อ.นาแก อ.ปลาปาก โดยมี สุมาลี พูลศิริกุล สวมเสื้อพรรคไทยรักไทย ขออาสาชนด้วยคน.....*** สงสัยเป็นเพราะปราบปรามแก๊งยาบ้าจริงจัง พล.ต.ท.พิชัย สุนทรสัจบูลย์ ผู้บัญชาการตำรวจภูธรภาค 4 จึงโดนบัตรสนเทห์ร้องเรียนหาว่าให้ลูกน้องรีดไถชาวบ้าน ขนาดนี้มีหนังสือร้องถึง มท.1 เพราะเอาจริงเอาจังในการปราบปรามยาเสพย์ติด มิจฉาชีพทนไม่ไหวเลยเขียนบัตรสนเทห์ให้กวนใจเล่น ๆ .....*** "นครสาร" ที่ท่านถืออ่านอยู่นี้ เป็นฉบับครบรอบ 40 ปี ย่างก้าวขึ้นปีที่ 41 ย้อนหลังไปเมื่อ 30 กันยายน 2503 จังหวัดนครพนม ก็มีหนังสือพิมพ์ท้องถิ่นฉบับแรกคือ "นครสาร" ก้าวเดินข้างหน้าก็ขอฝากทุกท่านช่วยดูแลด้วยครับ.....*** ยังเหนียวแน่นอยู่กับชาวนครพนมต่อไป เจริญ วิมุตติโกศล รอง ผวจ.นครพนม ผู้ที่มีความรู้ความเข้าใจในท้องถิ่นดีเป็นพิเศษ โดยเฉพาะาด้านความสัมพันธ์กับเพื่อนบ้าน.....*** เช่นเดียวกับ พล.ต.ต.ปรรีชา แสงสายทิม ผบก.ภ.นครพนม ยังอยู่ในตำแหน่งเดิมที่เก่า ส่วนคนชอบเดินสายทำบุญ พ.ต.อ.อภิชาต บุตรานนท์ ผกก.เมืองนครพนม ถ้าบุญพาวาสนาส่ง น่าจะได้ขยับขึ้นเป็นรองผู้การฯ ขอให้โชคดี..........

กลับ


คุ้ยแคะเขียน
โบ้ง บัวขาว รายงาน

ในพื้นที่ตำบลนาถ่อน ตำบลแสนพันธ์ ตำบลหมั่นหย่อนและตำบลดอนนางหงส์ อำเภอธาตุพนม จังหวัดนครพนมนั้น พบว่ามีเกษตรกรที่ทำการปลูกยาสูบเดือดร้อนจริงเกี่ยวกับเรื่องพวกพ่อค้า ใบยาเถื่อน นำเข้าใบยาสูบอบแห้งจากประเทศเพื่อนบ้านสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาว ทางสำนักงานโรงงานยาสูบจังหวัดนครพนมก็ได้รับผลกระทบอยู่บ้าง เพราะเกษตรกรที่ปลูกยาสูบ ในการควบคุมดูแลของสำนักงานโรงงานยาสูบจังหวัด เพราะว่าทางโรงงานยาสูบไม่ได้ซื้อใบยาสูบที่ถูกต้องตามสเป๊กของการควบคุมดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ฉะนั้นกลุ่มเกษตรกรที่ปลูกยาสูบตามนโยบายควบคุมดูแลของผู้เชี่ยวชาญของสำนักงานโรงงานยาสูบ เกษตรกรขายใบยาสูบไม่ได้ตามโควตา เพราะมีพวกพ่อค้านายทุนนำเงินนอกระบบไปซื้อใบยาสูบอบแห้งที่ไม่ได้มาตรฐานจากประเทศเพื่อนบ้าน ส.ป.ป.ลาว ในแต่ละปีๆ ขนกันเป็นร้อยเป็นพันๆ ตันๆ เล่นขนกันแบบประเทศไทยไร้กฎหมายดูแล และโดยเฉพาะอย่างยิ่งใบยาสูบที่พวกพ่อค้าลักลอบนำเจ้าจากประเทศเพื่อนบ้าน ส.ป.ป. ลาวนั้นขาดคุณภาพ ในใบยาสูบมีสารคลอไรด์ตกค้างใช้สารพิษพ่นฆ่าแมลง ไม่มีมาตรฐานขาดการตรวจสอบดูแลจากผู้เชี่ยวชาญ จึงทำให้เกิดมีสารพิษตกค้างในใบยาสูบมาก วอนผู้ที่มีหน้าที่รับผิดชอบทั้งหลายหันมาสนใจชีวิตของประชาชนภายในประเทศให้มากๆ หน่อย ถ้าหากขืนปล่อยให้มีการนำเข้าใบยาสูบเถื่อนแบบไม่มีมาตรฐานมีสารพิษตกค้างในใบยาสูบมาก ๆ เมื่อนำเข้ามาภายในประเทศแล้ว นำใบยาสูบที่ขาดมาตรฐานมาหั่นเป็นเส้นยาซองภายในประเทศแล้วมาผลิตเป็นบุหรี่ยาซองแทบจะทุกๆ ยี่ห้อของบุหรี่ไทย แล้วนำออกจำหน่ายขายให้กับคนไทยบริโภคทั่วประเทศ บุหรี่ที่มีสารพิษเจือปนมาก ๆ บุหรี่ที่ไม่มีมาตรฐาน ของการควบคุมดูแลมาตั้งแต่ต้น
ด้วยสาเหตุอย่างนี้คนไทยเกือบจะทั้งประเทศ ถึงได้เกิดเป็นโรคปอด เป็นโรคถุงลมโป่งพอง ป่วยเป็นโรคสารพัดที่จะเป็นด้วยบุหรี่ที่หั่นเป็นเส้นจากใบยาสูบที่ขาดมาตรฐานการดูแลของผู้เชี่ยวชาญ ประชาชนคนไทยถึงได้ตายรายวัน เพราะบริโภคยาสูบที่ไม่มีมาตรฐาน บริโภคบุหรี่ที่มีสารพิศตกค้างมาก ๆ เข้าไป มันถึงมีแต่ข่าวผู้ที่บริโภคบุหรี่ในประเทศไทยตายรายวัน
วอนเถอะครับ วอนผู้ที่รับผิดชอบต่อประเทศชาติบ้านเมือง กรุณาจงอย่าได้ปลอยให้ประชาชนคนไทยต้องมาตายเพราะบุหรี่ไม่มีมาตรฐาน ขาดการควบคุมดูแล มีสารพิษตกค้างมากๆ อย่างนี้ สงสารคนไทยที่ตายรายวัน ภายในประเทศเถิดครับอย่าปล่อยให้เขาต้องตายมากขึ้นอีกต่อไปเลย

กลับ


ศาสน์พุทธรรรม
ตอบปัญหาสติปัฎฐาน 4

ถาม การปฏิบัติธรรมเพื่อความพ้นทุกข์นี้ มีบุคคลประเภทไหนบ้าง ที่ไม่อาจบรรลุมรรคผล แม้ว่าจะปฏิบัติอย่างถูกต้องตามแนวทางที่พระพุทธเจ้าได้ทรงสอนไว้
ตอบ บุคคลที่ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ แม้ว่าจะปฏิบัติถูกต้องและแม้จะใช้ความพากเพียร พยายามอย่างไรก็ดี มีอยู่ 10 จำพวก คือ
1. ผู้ที่ทำกรรมหนักเป็นอนันตริยกรรม ได้แก่ ฆ่าบิดา มารดา ฆ่าพระอรหันต์ ทำให้สงฆ์แตกแยกกัน และทำให้พระวรกายของพระพุทธเจ้าต้องห้อเลือด
2. เป็นผู้มีมิจฉาทิฎฐิ คือไม่เชื่อในผลของเวรกรรม
3. เป็นผู้ที่มีจิตใจไม่สมประกอบ เช่นเป็นกระเทยหรือเพศคู่
4. เปรตและสัตว์ที่เกิดในภูมิดิรัจฉาน
5. ผู้ที่ปลอมเป็นภิกษุ สามเณร รวมทั้งภิกษุที่ต้องอาบัติปราชิก ซึ่งถือว่าไม่ใช่ภิกษุแล้ว
6. บุคคลที่บวชเป็นพระภิกษุแล้ว แต่กลับไปถือลัทธินอกศาสนา
7. บุคคลที่ประทุษร้ายภิกษุณี
8. เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 7 ขวบเพราะปัญญายังอ่อนอยู่
9. ภิกษุที่ต้องอาบัติสังฆาทิเสสและมิได้อยู่ปริวาสกรรมกระทำตนให้บริสุทธิ์ก่อน
10. ผู้ที่กล่าวดูหมิ่นล่วงเกินพระอริยบุคลซึ่งเรียกว่าเป็นอริยุปาวาท
บุคคล 8 จำพวกแรก ไม่มีโอกาสบรรลุมรรคผลได้เลย เพราะประกอบกรรมหนักแต่เด็กที่มีอายุต่ำกว่า 7 ขวบนั้น ไม่อาจบรรลุมรรคผลได้ เพราะปัญญายังอ่อนอยู่
แต่บุคคล 2 ประเภทหลังยังมีโอกาสที่จะบรรลุมรรคผลาได้ โดยภิกษุที่ต้องอาบัติสังฆาทอเสสต้องชำระอาบัติ โดยการอยู่ปรอวาสกรรม ตามหลักพระวินัยเสียก่อน
สำหรับผู้ที่ล่วงเกินพระอริยบุคคลนั้นต้องขอขมาโทษต่อพระอริยบุคคลเสียก่อน ส่วนบุคลนอกจากนี้มีโอกาสบรรลุมรรคผลได้ทุกคน
* พระพุทธองค์ตรัสรู้อริยสัจ 4
* ความจริงอันประเสริฐ 4 ประการ
1. ทุกขอริยสัจ - ความจริงอันประเสริฐ คือ ทุกข์
2. สมุทยอริยสัจ - ความจริงอันประเสริฐ คือเหตุให้เกิดทุกข์
3. นิโรธอริยสัจ - ความจิรงอันประเสริฐ คือความดับไม่เหลือแห่งทุกข์
4. มัคคอริยสัจ - ความจิรงอันประเสริฐ คือมรรคทางดำเนินไปสุ่ความดับทุกข์
1. ทุกขอริยสัจ - เป็นสิ่งที่ควรรู้
2. สมุทยอริยสัจ - เป็นสิ่งที่ควรละ
3. นิโรธอริยสัจ - เป็นสิ่งที่ควรทำให้แจ้ง
4. มัคคอริยสัจ - เป็นสิ่งที่ควรทำให้เกิดมี
*แยกตามสายเหตุและผล-สายเกิดและดับ*
1. ทุกขอริยสัจ - เป็นผล
2. สมุทยอริยสัจ - เป็นเหตุ สายเกิด
3. นิโรธอริยสัจ - เป็นผล
4. มัคคอริยสัจ - เป็นเหตุ สายดับ
1.ทุกขอริยสัจ
ประเภทและอาการแห่งทุกข์ 12 อย่าง
1. ความเกิด 2. ความแก่ 3. ความตาย 4. ความโศกเศร้า 5. ความร่ำไรรำพัน 6. ความทุกข์กาย 7. ความทุกข์ใจ 8. ความดับแค้นในใจ 9. ความประสพกับสิ่นอันไม่เป็นที่รัก พอใจ 10. ความพลัดพรากจากสิ่งอันเป็นที่รักที่พอใจ 11. ความปรารถนาสิ่งใดไม่ได้สิ่งนั้น 12. ความยึดมั่นในขันธ์ 5
2. สมุทยอริยสัจ
ว่าด้วยลักษณะแห่งตัณหา (อันเป็นต้นเหตุแห่งทุกข์)
1. กามตัณหา ความอยากได้ในอารมณ์ที่น่าใคร่น่าปรารถนา
2. ภวตัณหา ความอยากเป็นนั่นเป็นนี่
3. ิวิภวตัณหา ความาอยากไม่เป็นนั้นเป็นนี่
3. นิโรธอริยสัจ (ความดับไม่เหลือแห่งทุกข์)
ต้องดับที่ตัวปัญหา
1. ดับที่ นันทิ (ความเพลิดเพลินในประการต่างๆ ) เช่นเพลิดเพลินในธาตุ เพลิดเพลินในอายตนะ เพลิดเพลินในกามคุณ 5 เป็นต้น
2. ดับที่ ขันธ์ 5
3. ดับที่ ผัสสะ (มีอินทรีย์สังวรณ์ศีล)
4. ดับที่ลูกโซ่แห่งความดับทุกข์ (ปฏิจจสมุปปบาท)
5. ดับที่พระไตรลักษณ์ เหล่านี้เป็นต้น
4. มัคคอริยสัจ (ทางปฏิบัติไปสู่ความดับทุกข์) 8 ประการ
1. สัมมาทิฎฐิ ความเห็นถูก
2. สัมมาสังกัปปะ ความดำริห์ถูก ปัญญา
3. สัมมาวาจา ใช้คำพูดถูก
4. สัมมากัมมันตะ ทำการงานถูก ศีล
5. สัมมาอาชีวะ หาเลี้ยงชีพถูก 
6. สัมมาวายามะ ทำความเพียรถูก
7. สัมมาสติ ตั้งสติถูกต้อง สมาธิ
8. สัมมาสมาธิ ทำสมาธิถูกต้อง
มรรคมีองค์ 8 เมื่อลงสู่ภาคปฏิบัติก็คือ ศีล สมาธิ ปัญญา เมื่อปฏิบัติศีล สมาธิ ปัญญา ก็เท่ากับว่าได้ปฏิบัติ มรรคมีองค์ 8 แล้วโดยสมบูรณ์ นั่นเอง
นี่คือจุเริ่มต้นของ สติปัฎฐาน 4
คำสมาทานวิปัสสนากรรมฐาน
อุกาสะ ๆ ณ โอกาสบัดนี้ ข้าพเจ้าขอสมาทานซึ่งวิปัสสนากรรมฐาน ข้อขณิกสมาธิ อุปจารสมาธิ อัปปนาสมาธิ และ วิปัสสนาญาณ จงบังเกิดมีในขันธสันดาน ของข้าพเจ้า
ข้าพเจ้าจะตั้งสติไว้ ที่รูปยืนในขณะที่ยืน โดยกำหนดว่า "ยืนหนอ" ตั้งสติไว้ที่รูปเดิน ในขณะเดินโดยกำหนดว่า "ขวาย่างหนอ" - "ซ้ายย่างหนอ" ตั้งสติไว้ที่รูปนั่ง ในขณะนั่ง โดยกำหนดว่า "นั่งหนอ" ตั้งสติไว้ที่ท้อง ในขณะหายใจเข้า ท้องพองขึ้น กำหนดว่า "พองหนอ" ขณะหายใจออก ท้องยุบลง กำหนดว่า "ยุบหนอ" ขณะนึกคิด ตั้งสติไว้ที่นามคิด กำหนดว่า "คิดหนอ" เป็นต้น ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไปเทอญฯ
คำตั้งสัจจอธิษฐาน
ข้าพเจ้าขอตั้งสัจจอธิษฐาน ขออานุภาพแห่งบุญกุศลที่ข้าพเจ้าได้บำเพ็ญแล้ว จงเป็นพลวะปัจจัยเป็นนิสัยตามส่ง ให้มีความสุขความเจิรญ และเกิดปัญญาณ ทั้งชาตินี้ ชาติหน้า ตลอดชาติอย่างยิ่งจนถึงความพ้นทุกข์ คือพระนิพพาน ในอนาคตกาลโน้น เทอญ.
(พระสมุห์วะลา สุเมโธ)
คำนมัสการพระธาตุพนม
ปุริมายะ ทักขิณายะ ปัจฉิมายะ อุตรายะ เหฏฐิมายะ อุปะริมายะ ทิสายะ กะปะณะคิริสมิง ปัพพะเต มหากัสสะเปนะ ฐาปิตัง พุทธะอุรังคะธาตุง สิระสา นะมามิฯ
คำนมัสการยอด
สุวัณณะระชะตัง ระตะนัง ปะณีตัง พุทธะอุรังคะเจติยัง อะหัง วันทามิ สัพพะทาฯ
คำแผ่เมตตาให้แก่ตนเอง
อะหัง สุขิโต โหนิ. ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุขกายสุขใจ
อะหัง อะเวโร โหมิ. ขอให้ข้าพเจ้า อย่าได้มีเวรกับผู้ใด
อะหัง อัพพยา ปัชโฌ โหมิ. ขอให้ข้าพเจ้า อย่าได้เบียนดเบียนกับผู้ใด
อะหัง อะนีโฆ โหมิ ขอให้ข้าพเจ้า อย่าาได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย
สุขี อัตตานัง ปะริหะรานิ ขอให้ข้าพเจ้ามีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัย ทั้งสิ้นเถิด
คำแผ่เมตตาให้แก่ผู้อื่น
สัพเพ สัตตา สัตว์ทั้งหลาย ที่เป็นเพื่อนทุกข์ เกิด แก่ เจ็บ ตาย ด้วยกันทั้งหมด ทั้งสิ้น
อะเวรา จงเป็นสุข เป็นสุขเถิด อย่าได้มีเวรแก่กันและกันเลย
อัพพยาปัชฌา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้เบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
อะนีฆา จงเป็นสุขเป็นสุขเถิด อย่าได้มีความทุกข์กาย ทุกข์ใจเลย 
สุขี อัตตานัง ปะริหะรันตุ จงมีความสุขกาย สุขใจ รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด

คำกล่าวขณะจุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย
จุดเทียนเพื่อบูชาพระธรรมและพระวินัย
จุดเทียนเล่มที่ 1 (ขวามือพระพุทธรูป)
"เราจักมีธรรมะ เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต"
จุดเทียนเล่มที่ 2 (ซ้ายมือพระพุทธรูป)
"เราจักมีระเบียบวินัย เป็นแสงสว่างนำทางชีวิต"
จุดธูปเพื่อบูชาพระคุณทั้ง 3 ของพระพุทธเจ้า 
จุดธูปดอกที่ 1(ขวามือพระพุทธรูป)
"เราจะมี ปัญญา ดับกิเลส ดั่งพระพุทธองค์"
จุดธูปดอกที่ 2 (ดอกกลาง)
"เราจะมี ความบริสุทธิ์ สะอาด ซื่อตรง ดั่งพระพุทธองค์"
จุดธูปดอกที่ 3 (ซ้ายมือพระพุทธรูป)
"เราจะมี ความเตตา กรุณา ที่เฉียบขาด ดั่งพระพุทธองค์"
ประโยชน์ของการเดินจงกรม 5 ประการ
1. ทำให้การเดินทางอดทนมาก 2. ทำให้มีความพากเพียรดี 3. ทำให้เป็นผู้มีโรคน้อย 4. ทำให้ย่อยอาหารได้ดี 5. ทำให้สมาธิตั้งมั่นอยู่ได้นาน
ประโยชน์ของสมาธิ 8 ประการ
1. จิตแจ่มใส ใจเบิกบาน 2. ทำงานผิดพลาดน้อยลง 3. ทรงความจำ 4. ทำงานสำเร็จตามเป้าหมาย 5. คลายความเครียด 6. ไม่เบียดเบียนกัน 7. ศรัทธามั่นในพระรัตนตรัย 8. มีใจเมตตา กรุณา ต่อสังคม
"ปฏิบัติธรรม น้ำใจใสสะอาด ปฏิบัติธรรม สามารถเป็นสุขสันต์ ปฏิบัติธรรม พ้นทุกข์สุขอนันต์ ปฏิบัติธรรม นำชีวันให้ร่มเย็น"
ทางสองแพ่ง - จะไปทางไหน?
ระหว่าง กิน กาม เกียรติ กระแสชีวิตที่ต้องเวียนว่ายตายเกิด อยู่ในวัฏฏสงสาร ชาติแล้วชาติเล่า กับ การเดินไปสู่จุดหมายปลายทางชีวิตที่แท้จริง จุดจบของชีวิต ที่สุดแห่งทุกข์ พระนิพพาน
โลกีชน - ผู้ไม่พ้นโลก
มุ่งแสวงหาสิ่งที่มี แล้วก็อยู่กับสิ่งที่มี แต่ 
โลกุตตรชน - ผู้อยู่เหนือโลก 
มุ่งแสวงหาสิ่งที่ไม่มี แล้วก็อยู่กับสิ่งที่ไม่มี
อินทรีย์สังวรณ์ศีล คือการมีสติ สำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ไม่ให้จิตหวั่นไหวไปตามอารมณ์ที่มากระทบ ถ้าผู้ปฏิบัติไม่มีการสำรวม ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจปล่อยให้จิตเพลิดเพลินไปตามอารมณ์ที่มากระทบแล้วกิเลสทั้งหลายย่อมจะหลั่งไหลเข้าไปเบียดเบียนได้ ถ้าได้สำรวมทวารทั้ง 6 เป็นอย่างดีแล้ว ก็เท่ากับได้ปิดทวารไว้มิดชิด กิเลสย่อมเข้าไปทำลายไม่ได้ เหตุนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสสอนสาวกของพระองค์อยู่เสมอว่า - ภิกษุ
เมื่อใดเธอเห็นรูป ก็สักแต่ว่าได้เห็น
ได้ยินเสียง ก็สักแต่ว่าได้ยิน
ได้กลิ่น ก็สักแต่ว่าได้กลิ่น
ได้ลิ้มรส ก็สักแต่ว่าได้ลิ้ม
ได้สัมผัส ก็สักแต่ว่าได้สัมผัส
และเมื่อรู้ธรรมมารมณ์ ก็สักแต่ว่าได้รู้
เพื่อศานติภาพของโลก
สจิตฺตปรีโยทปนัง-การชำระจิตให้บริสุทธิ์ การที่มนุษย์เราตกอยู่ในความเดือดร้อน วุ่นวาย ไม่สงบสุข ถูกเบียดเบียนกดขี่ข่มเหง ทำลายล้างจนกลายเป็นศึกสงครามนั้น ก็เพราะ มนุษย์เราไม่สามารถขจัดความโลภ ความโกรธ และความหลง ให้หมดไปจากจิตนั่นเอง มิใช่อะไรอื่น ถ้าผู้นำของแต่ละประเทศ ลดความโลภ ความโกรธ และความหลงลงบ้างแล้ว ย่อมเป็นที่เชื่อแน่ว่าโลกของเราจะร่มเย็นน่าอยู่น่าอาศัยมากขึ้นกว่านี้ สงครามจะยุติ ศานติภาพของโลกจะโชติช่วงชัชวาล
ราหุล เธอจงทำใจให้เหมือนแผ่นดินเถิด เพราะเมื่อเธอทำใจให้เหมือนแผ่นดิน เป็นประจำอยู่เสมอแล้ว เมื่อกระทบกับอารมณ์ที่ชอบใจหรือไม่ชอบใจก็ดี อารมณ์เหล่านั้นก็ไม่สามารถที่จะทำจิตของเธอให้หวั่นไหวได้
เปรียบเหมือนคนทั้งหลาย ทิ้งของที่สะอาดบ้าง ไม่สะอาดบ้าง ถ่ายอุจจาระบ้าง ถ่ายปัสสาวะบ้าง บ้วนน้ำลายบ้าง เทของสกปรกบ้าง ลงแผ่นดิน แผ่นดินก็ไม่รู้โกรธรู้เคือง แผ่นดินจะอึดอัดระอาและรังเกียจสิ่งของเหล่านั้นก็หามิได้
ราหุล ถ้าเธอทำใจให้เหมือนแผ่นดินเป็นประจำอยู่เสมอได้เช่นนี้แล้ว อารมณ์ทั้งหลาย ก็ไม่สามารถ ครอบงำจิตของเธอได้
พระอริยเจ้าทั้งหลาย มีปกติเป็นอย่างนี้
ทำในสิ่งที่ผู้อื่นทำได้ยาก
อดทนในสิ่งที่ผู้อื่นอดทนได้ยาก
เอาชนะในสิ่งที่ผู้อื่นเอาชนะได้ยาก
ท่านจึง ได้รับสิ่งที่คนทั้งหลายรับได้ยาก



กลับ

กลับสู่ โรตารีนครพนม